การฉีดฟิลเลอร์เป็นหัตถการเสริมความงามที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน เนื่องจากสามารถช่วยเติมเต็มริ้วรอย ร่องลึก ปรับรูปหน้าให้เรียวสวย และแก้ไขปัญหาผิวต่าง ๆ ได้อย่างเห็นผล แต่เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีและปลอดภัย การดูแลตัวเองหลังฉีดฟิลเลอร์อย่างเหมาะสม ยังเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องทำควบคู่กันไปด้วย
ศึกษาก่อน! การฉีดฟิลเลอร์คืออะไร ช่วยอะไรบ้าง ?
การฉีดฟิลเลอร์เป็นการฉีดสารเติมเต็ม Hyaluronic Acid หรือ HA เข้าไปใต้ผิวหนังในบริเวณที่ต้องการเติมเต็ม ซึ่ง Hyaluronic Acid คือสารธรรมชาติที่มีอยู่ในร่างกายของมนุษย์ โดยมีคุณสมบัติในการอุ้มน้ำ ช่วยให้ผิวชุ่มชื้น เรียบเนียน และยืดหยุ่น จึงสามารถช่วยแก้ไขปัญหาผิวต่าง ๆ ได้ ดังนี้
เติมเต็มริ้วรอย ร่องลึก
ริ้วรอยและร่องลึกเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยเมื่ออายุมากขึ้น เนื่องจากร่างกายจะเริ่มสูญเสียคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้ผิวหนังหย่อนคล้ายและเกิดริ้วรอย ซึ่งการแก้ปัญหาด้วยฉีดฟิลเลอร์ จะสามารถช่วยเติมเต็มบริเวณที่เกิดริ้วรอยและร่องลึกให้ผิวดูตื้นขึ้นได้ ซึ่งโดยปกติแล้ว ริ้วรอยและร่องลึกมักจะเกิดขึ้นตามบริเวณเหล่านี้
- ร่องแก้ม เป็นร่องลึกจากมุมปากด้านนอกไปยังแก้มด้านข้าง ซึ่งการมีร่องแก้มลึกจะทำให้ใบหน้าดูหมองคล้ำ เหนื่อยล้า
- ร่องใต้ตา เป็นร่องลึกบริเวณใต้ดวงตา ซึ่งการมีร่องใต้ตาลึกจะทำให้ใบหน้าดูเศร้า หมองคล้ำ
- ร่องน้ำหมาก เป็นร่องลึกจากริมฝีปากบนไปยังจมูก ซึ่งการมีร่องน้ำหมากลึกจะทำให้ใบหน้าดูเหี่ยวย่น และดูแก่กว่าวัย
ปรับรูปหน้าให้ดูอ่อนเยาว์ ยกกระชับใบหน้า
เมื่ออายุมากขึ้น กระดูกและกล้ามเนื้อใบหน้า เช่น บริเวณขมับ จะเกิดการเสื่อมสภาพ ทำให้ใบหน้าหย่อนคล้อย ซึ่งฟิลเลอร์สามารถช่วยเติมเต็มส่วนต่าง ๆ ของใบหน้าให้กลับมาตึงกระชับ และช่วยให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ขึ้นได้
เพิ่มมิติให้กับใบหน้า
เนื่องจากคุณสมบัติในการเติมเต็ม ฟิลเลอร์จึงสามารถช่วยเพิ่มมิติให้กับใบหน้า ทำให้ใบหน้าดูโดดเด่นขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเติมฟิลเลอร์บริเวณคาง ขมับ หรือสันจมูก
แก้ปัญหาริมฝีปากบาง ริมฝีปากไม่อวบอิ่ม
ริมฝีปากอวบอิ่มเป็นอีกหนึ่งเทรนด์ที่กำลังมาแรง สำหรับผู้ที่มีริมฝีปากบาง และอยากทำให้ใบหน้าดูโดดเด่นมากขึ้น การเติมฟิลเลอร์ริมฝีปากช่วยได้ เพราะจะช่วยให้ใบหน้าดูสมดุลน่ามองขึ้น ยิ่งในยุคนี้ยังสามารถทำได้หลายทรงทั้ง ริมฝีปากปีกนกสไตล์เกาหลี หรือปากอิ่มสายฝอ
ทำไมถึงควรดูแลตัวเองให้ดีหลังฉีดฟิลเลอร์ ?
ตามปกติแล้ว การทำหัตถการฉีดฟิลเลอร์จะเข้าที่ภายใน 1-2 สัปดาห์หลังฉีด โดยในช่วงนี้อาจมีอาการบวม แดง เขียวช้ำ หรือมีอาการเจ็บปวดได้ ซึ่งการดูแลหลังฉีดฟิลเลอร์อย่างเหมาะสมจะสามารถบรรเทาอาการและช่วยให้ฟิลเลอร์เข้าที่ได้เร็ว อีกทั้งยังจะช่วยลดความเสี่ยงจากผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น โดยมีข้อปฏิบัติหลังฉีด Filler ที่ควรรู้ ดังนี้
- ประคบเย็นบริเวณที่ฉีด เพื่อลดอาการบวมช้ำ โดยประคบเย็นวันละ 2-3 ครั้ง ครั้งละ 15-20 นาที
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสบริเวณที่ฉีด เป็นเวลา 1-2 วัน เพราะอาจทำให้เกิดการติดเชื้อ อักเสบจากมือที่ไปสัมผัส รวมถึงอาจมีผลต่อการเคลื่อนที่ของฟิลเลอร์
- หลีกเลี่ยงการขยับใบหน้ามากเกินไป เป็นเวลา 3 วันแรก
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ อย่างน้อยวันละ 8-10 แก้ว
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน
ข้อควรระวังหลังฉีดฟิลเลอร์
ข้อควรระวังและข้อห้ามหลังฉีดฟิลเลอร์ ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ควรหลีกเลี่ยง เพราะอาจทำให้ฟิลเลอร์อยู่ได้ไม่นาน โดยรายละเอียดของข้อห้ามหลังฉีดฟิลเลอร์ในแต่ละส่วนจะมีดังนี้
ข้อควรระวังโดยทั่วไป
- ห้ามดื่มแอลกอฮอล์ เป็นเวลา 14 วัน เนื่องจากแอลกอฮอล์จะทำให้หลอดเลือดขยายตัวและทำให้เลือดสูบฉีดมากขึ้น ซึ่งส่งผลต่ออาการบวมหลังฉีดฟิลเลอร์ ให้อยู่นานขึ้น
- ห้ามสูบบุหรี่ เป็นเวลา 7 วัน เนื่องจากการสูบบุหรี่จะทำให้เลือดไหลเวียนไม่ดี จึงอาจทำให้อาการบวมหายช้า
- ห้ามใช้ยาบางชนิด เช่น ยาแก้อักเสบ ยาต้านการแข็งตัวของเลือด เนื่องจากยาที่มีฤทธิ์ต้านการแข็งตัวของเลือด อาจส่งผลต่ออาการบวมช้ำ รวมถึงการสลายตัวของฟิลเลอร์ ทำให้ฟิลเลอร์อยู่ได้ไม่นาน จึงควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยาหลังฉีดฟิลเลอร์ก่อนเสมอ
- ห้ามออกกำลังกายหนัก เป็นเวลา 1 สัปดาห์ เนื่องจากการออกกำลังกายหนักจะทำให้ร่างกายเกิดการอักเสบ ส่งผลให้อาการบวมหลังฉีดฟิลเลอร์นานขึ้น อีกทั้งยังอาจทำให้ฟิลเลอร์เคลื่อนตัวได้อีกด้วย
ข้อควรระวังหลังการฉีดฟิลเลอร์ในแต่ละส่วน
- ฟิลเลอร์ตา เป็นการฉีดเพื่อแก้ปัญหาริ้วรอยรอบดวงตา ร่องใต้ตา หางตาตก ซึ่งมีข้อควรระวัง ดังนี้
- หลีกเลี่ยงการขยี้ตาแรง ๆ ในช่วง 1-2 วันแรกหลังฉีดฟิลเลอร์
- หลีกเลี่ยงการนอนคว่ำในช่วง 2-3 วันแรกหลังฉีดฟิลเลอร์
- ฟิลเลอร์ปาก เป็นการฉีดเพื่อแก้ปัญหาริมฝีปากบาง ไม่เป็นรูปทรง ให้มีทรงปากอวบอิ่มมากขึ้น ซึ่งมีข้อควรระวัง ดังนี้
- หลีกเลี่ยงอาหารรสชาติจัดจ้าน หรือเครื่องดื่มที่ร้อนจัด ในช่วง 1-2 วันแรกหลังฉีดฟิลเลอร์
- หลีกเลี่ยงการทาลิปสติกหรือผลิตภัณฑ์บำรุงริมฝีปากที่มีส่วนผสมของวิตามินเอ เรตินอล หรือส่วนผสมที่มีฤทธิ์เป็นกรด ในช่วง 1-2 วันแรกหลังฉีดฟิลเลอร์
- ไม่ควรดึง หรือลอกหนังริมฝีปาก เพราะจะทำให้ผิวเก็บกักน้ำและความชุ่มชื้นบริเวณริมฝีปากได้น้อยลง
- ฟิลเลอร์ร่องแก้ม เป็นการฉีดเพื่อแก้ปัญหาร่องแก้มลึกที่ทำให้แก้มดูย้อย จนดูแก่กว่าวัย ให้สดใสขึ้น ซึ่งมีข้อควรระวัง ดังนี้
- พยายามอย่าขยับใบหน้าเยอะในช่วง 3 วันแรกหลังฉีดฟิลเลอร์ เพราะอาจทำให้ฟิลเลอร์เคลื่อนที่ได้
- หลีกเลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้ง หรือกิจกรรมที่ทำให้เลือดสูบฉีดจนหน้าแดง อย่างน้อย 2 วันหลังฉีดฟิลเลอร์
- ฟิลเลอร์ขมับ เป็นการฉีดเพื่อแก้ปัญหาขมับที่ยุบตัวลง จนทำให้ใบหน้าดูแก่กว่าวัย ซึ่งมีข้อควรระวัง ดังนี้
- หลีกเลี่ยงการนอนในตำแหน่งที่ขมับได้รับการกดทับ
- ไม่ควรกด หรือนวดขมับ ในบริเวณที่ฉีด
- ฟิลเลอร์คาง เป็นการฉีดเพื่อแก้ปัญหาคางที่สั้น หรือแหลม รวมถึงใบหน้าดูไม่สมส่วน ให้ภาพรวมของใบหน้าดูสมมาตรเท่ากันมากขึ้น ซึ่งมีข้อควรระวัง ดังนี้
- หลีกเลี่ยงการกัดฟันแรง ๆ ในช่วง 1-2 วันแรกหลังฉีดฟิลเลอร์
- หลีกเลี่ยงสัมผัส เท้าคาง รวมถึงการสวมใส่อะไรที่รัดหน้า รัดคาง เพราะอาจทำให้ฟิลเลอร์เสียรูปทรงได้
อาการที่อาจเกิดขึ้นหลังฉีดฟิลเลอร์
หลังฉีดฟิลเลอร์ทันทีอาจมีการบวม หรือรอยช้ำในบริเวณที่ฉีด ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกติ แต่ก็มีอาการที่ควรเฝ้าระวังด้วยเช่นกัน ซึ่งหากเกิดขึ้นก็ควรรีบไปพบแพทย์ทันที ตามรายละเอียด ดังนี้
อาการที่มักเกิดขึ้นหลังฉีดฟิลเลอร์
- อาการบวมตึงบริเวณที่ฉีด เป็นอาการที่พบได้บ่อยที่สุด เกิดจากการที่ฟิลเลอร์ถูกฉีดเข้าไปใต้ผิวหนัง ทำให้เซลล์ผิวหนังเกิดการอักเสบและบวมขึ้น อาการบวมจะค่อย ๆ ลดลงไปภายใน 7-14 วัน
- อาการเขียวช้ำ อาจเกิดขึ้นได้บริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์ เกิดจากการที่เข็มฉีดยาไปโดนหลอดเลือดฝอย ทำให้เลือดออกใต้ผิวหนัง ซึ่งอาการเขียวช้ำจะค่อย ๆ หายไปภายใน 2-3 สัปดาห์
อาการที่ต้องระวังหลังฉีดฟิลเลอร์
- อาการบวมช้ำนานกว่าปกติ เกินกว่า 14 วัน หรือมีอาการบวมแดง ปวด ร้อนบริเวณที่ฉีด
- ฟิลเลอร์เคลื่อนตัวผิดตำแหน่ง ซึ่งอาจเกิดจากความไม่ชำนาญของแพทย์ รวมถึงการไม่ทำตามข้อปฏิบัติหลังฉีด Filler ก็อาจทำให้ฟิลเลอร์เคลื่อนตัวผิดตำแหน่งได้
- เกิดก้อนแข็งใต้ผิวหนัง จากการจับตัวเป็นก้อนของฟิลเลอร์ ซึ่งอาจทำให้รูปทรงใบหน้าผิดเพี้ยนไปจากเดิม
- การติดเชื้อ ซึ่งมีโอกาสพบได้น้อย โดยเกิดจากการที่เข็มฉีดยาไม่สะอาด หรือแพทย์ผู้ฉีดขาดความชำนาญ ทำให้เกิดอาการ เช่น อาการปวดบวมแดงบริเวณที่ฉีด มีน้ำเหลืองไหล มีไข้
นอกจากการดูแลหลังฉีดฟิลเลอร์เป็นอย่างดีแล้ว การฉีดฟิลเลอร์กับคลินิกที่ได้มาตรฐาน ผ่านการใช้ฟิลเลอร์แท้ ก็จะยิ่งช่วยให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีและปลอดภัย ที่ Jairuk Clinic มีบริการฉีดฟิลเลอร์อย่างครบวงจรเพื่อปรับรูปหน้าให้ดูสดใส ไม่ว่าจะเป็นฟิลเลอร์ตา เติมเต็มร่องแก้ม หรือฉีดปากทรงเกาหลี ก็สามารถทำได้ โดยทีมแพทย์ชำนาญการ ด้วยฟิลเลอร์ที่ผ่านการรับรองมาตรฐาน อย. ไทยและสากล สนใจนัดหมายปรึกษาแพทย์ได้ที่ โทร : 062-848-7799, 093-636-5153 และ 062-747-1222
ข้อมูลอ้างอิง
- ข้อควรรู้ก่อนฉีด Filler ครั้งแรก. สืบค้นเมื่อวันที่ 30 มกราคม 2567 จาก https://www.bpksamutprakan.com/care_blog/view/155
- 10 Best Aftercare Tips for Lip Fillers. สืบค้นเมื่อวันที่ 30 มกราคม 2567 จาก https://www.healthline.com/health/beauty-skin-care/lip-fillers-aftercare