เพราะปัญหาผิวบนใบหน้า ล้วนสร้างความกังวลใจให้กับเราได้ทั้งสิ้น หลายคนจึงมองหาหัตถการที่สามารถช่วยฟื้นฟูผิว ยกกระชับ ลดเลือนริ้วรอย และปรับรูปหน้าให้สมส่วน เพื่อเรียกคืนความมั่นใจให้กลับคืนมา ซึ่งวิธีการที่ได้รับความนิยมอย่างมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา คงจะต้องมีชื่อของการฉีดฟิลเลอร์กับโบท็อกซ์เอาไว้ด้วย แต่หลายคนอาจยังสงสัยว่าต่างกันอย่างไร แล้ววิธีไหนที่จะตอบโจทย์และให้ผลลัพธ์ที่ตรงใจมากกว่ากัน
โบท็อกซ์กับฟิลเลอร์คืออะไร ?
โบท็อกซ์
โบท็อกซ์ เป็นสารที่สกัดจากโปรตีนของแบคทีเรีย ที่เรียกว่า Clostridium Botulinum เมื่อฉีดเข้าไปยังบริเวณที่ต้องการ จะมีคุณสมบัติยับยั้งการทำงานของกล้ามเนื้อชั่วคราว ส่งผลให้ริ้วรอยที่เกิดจากการแสดงอารมณ์ต่าง ๆ เช่น ริ้วรอยระหว่างคิ้ว รอบดวงตา ร่องแก้ม ค่อย ๆ ลดเลือนลง ใบหน้าดูเรียบเนียน แลดูอ่อนเยาว์ขึ้น และยังช่วยปรับรูปหน้าให้ดูเรียวเล็ก โดยเฉพาะบริเวณกราม
ฟิลเลอร์
ฟิลเลอร์ เป็นสารเติมเต็มชนิดหนึ่ง ซึ่งฉีดเข้าสู่ใต้ผิวหนัง ส่วนใหญ่ทำมาจากกรดไฮยาลูรอนิก (Hyaluronic Acid: HA) เป็นสิ่งที่มีอยู่ในร่างกายตามธรรมชาติ จึงมั่นใจได้ว่ามีความปลอดภัยสูง นิยมใช้ในการปรับรูปหน้าให้ดูอ่อนเยาว์ ได้สัดส่วนที่สมมาตร โดยสามารถฉีดเข้าไปในบริเวณที่ต้องการ เช่น ร่องแก้ม ขมับ เพื่อแก้ปัญหาร่องลึกและหย่อนคล้อย หรือฉีดไปยังบริเวณ ขมับ คาง ริมฝีปาก เพื่อเพิ่มวอลูมอย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ กรดไฮยาลูรอนิก ยังมีคุณสมบัติช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นให้ผิว ทำให้เมื่อฉีดเข้าไปจะช่วยเพิ่มวอลูมให้กับผิวหนัง ทำให้ผิวหน้าดูเต็มอิ่มฟูและเนียนเรียบกว่าเดิม
โบท็อกซ์กับฟิลเลอร์ต่างกันอย่างไร ?
การจะตัดสินใจเลือกระหว่างการฉีดโบท็อกซ์กับฟิลเลอร์ สามารถพิจารณาได้จากปัจจัยต่าง ๆ ดังนี้
ปัจจัย |
โบท็อกซ์ |
ฟิลเลอร์ |
สาร/ตัวยา |
โบทูลินัม ท็อกซิน ชนิด A |
กรดไฮยาลูรอนิก |
โมเลกุล |
มีลักษณะเป็นผลึกขาว อยู่ที่ก้นขวด ก่อนฉีด แพทย์จะนำไปผสมกับน้ำเกลือ เพื่อให้ละลาย และสามารถฉีดเข้าสู่ร่างกายได้ |
มีลักษณะเป็นเนื้อเจล ซึ่งโมเลกุลจะแตกต่างกันออกไปตามรุ่นและยี่ห้อ โดยสามารถแบ่งลักษณะออกเป็น 3 ประเภทหลัก คือ เนื้อนิ่ม เนื้อละเอียด และเนื้อแน่น |
ชั้นผิวที่ฉีด |
ชั้นกล้ามเนื้อ |
– ชั้นผิวหนังแท้ – ชั้นไขมันใต้ผิวหนัง |
หลักการทำงาน |
เมื่อฉีดเข้าไปแล้วจะออกฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของระบบประสาท จึงส่งผลให้กล้ามเนื้อในบริเวณที่ฉีด คลายตัวลงชั่วคราว |
เมื่อฉีดเข้าไปแล้วจะกระตุ้นให้เกิดการเสริมสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน เพื่อเติมเต็มชั้นผิวที่เสื่อมสภาพหรือยุบตัว |
ตำแหน่งที่ฉีด |
กราม, หางตา,หน้าผาก, ระหว่างคิ้ว, โหนกแก้ม, จมูก, รักแร้, น่อง, แขน |
ใต้ตา, คาง, ร่องแก้ม, ปาก, ขมับ, หน้าผาก, จมูก |
ผลลัพธ์ที่ได้ |
– ลดริ้วรอยเหี่ยวย่นบริเวณหน้าผาก ระหว่างคิ้ว – ลดริ้วรอยเล็ก ๆ รอบดวงตา ลดเลือนรอยตีนกา – ลดปีกจมูก – ลิฟต์กรอบหน้าให้กระชับ – ลดกราม ปรับรูปหน้าให้เรียว |
– เสริมหน้าผากให้อิ่มฟู – เติมเต็มขมับ ให้รูปหน้าดูอ่อนละมุน – แก้ถุงใต้ตา ใต้ตาคล้ำ ตาลึก ตาโหล ให้ใบหน้าแลดูสดชื่น อ่อนวัย – แก้แก้มตอบ เพิ่มความสดใส อ่อนวัย – ลดเลือนร่องแก้มลึก ร่องมุมปาก แก้ปัญหาหน้าแก่ก่อนวัย – เสริมคาง สร้างโหงวเฮ้ง – ปรับทรงปาก รับใบหน้า |
ระยะเวลาเห็นผล |
3-7 วัน |
ทันทีหลังฉีด |
ระยะเวลาคงผลลัพธ์ |
3-6 เดือน |
6-24 เดือน (ขึ้นอยู่กับชนิดของฟิลเลอร์) |
ข้อดี-ข้อจำกัด |
ข้อดี – ฉีดได้หลายตำแหน่งบนใบหน้า ลดริ้วรอยได้อย่างมีประสิทธิภาพ – ช่วยในการปรับรูปหน้า รวมทั้งลดเหงื่อ ลดกลิ่นตัวได้ – ไม่ต้องพักฟื้นนาน – ผลลัพธ์แลดูเป็นธรรมชาติ ข้อจำกัด – ไม่สามารถเติมเต็มร่องลึกหรือเพิ่มวอลูมได้ – ต้องทำซ้ำทุก 3-6 เดือนเพื่อรักษาผลลัพธ์ |
ข้อดี – เห็นผลลัพธ์ทันที หลังการฉีด – ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น – สามารถปรับแต่งรูปหน้าได้หลากหลาย – ผลลัพธ์สวยงาม แลดูเป็นธรรมชาติ ข้อจำกัด – อาจเกิดการบวมหรือรอยช้ำหลังทำ – ควรฉีดในปริมาณที่เหมาะสม ถึงจะได้ผลลัพธ์ที่สวยงาม – หากฉีดไม่ถูกต้องอาจทำให้ใบหน้าดูผิดรูปได้ |
ความเสี่ยง/อันตราย |
อาจทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงชั่วคราว บางรายอาจแพ้หรือเกิดการหย่อนคล้อย |
– อาจเกิดการติดเชื้อหรือฉีดฟิลเลอร์ผิดตำแหน่ง ในกรณีที่แพทย์ไม่มีประสบการณ์ – อาจพบฟิลเลอร์ปลอม หากไม่ฉีดที่คลินิกที่มีความน่าเชื่อถือ |
โบท็อกซ์กับฟิลเลอร์เลือกอย่างไรดี ?
เมื่อรู้ถึงความแตกต่างของโบท็อกซ์กับฟิลเลอร์แล้ว ต่อไปคือวิธีการตัดสินใจว่าแบบไหนเหมาะสมกับปัญหาผิวหน้ามากที่สุด ซึ่งปัจจัยสำคัญที่ควรพิจารณา คือ
ปัญหาที่ต้องการแก้ไข
หากมีปัญหาเกี่ยวกับริ้วรอยจากการขยับกล้ามเนื้อ เช่น ริ้วรอยหน้าผาก ร่องลึกบริเวณรอบดวงตา โบท็อกซ์นับเป็นทางเลือกที่ดีกว่า แต่ถ้าต้องการเพิ่มวอลูม เติมเต็มบริเวณที่ดูแบนหรือหย่อนคล้อย ฟิลเลอร์จะตอบโจทย์มากกว่า
บริเวณที่ต้องการทำฉีด
ประการต่อมาคือ ควรเลือกโดยพิจารณาจากบริเวณที่ต้องการฉีด โดยโบท็อกซ์เหมาะกับการฉีดในบริเวณที่ต้องการหยุดการขยับกล้ามเนื้อ เช่น หน้าผากและกราม ส่วนฟิลเลอร์เหมาะกับบริเวณที่ต้องการเติมเต็ม เช่น ร่องแก้ม ริมฝีปาก หรือขมับ
คลินิกและแพทย์ผู้มีประสบการณ์
การเลือกคลินิกและแพทย์ที่มีประสบการณ์ด้านการฉีด เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง แพทย์ผู้มีประสบการณ์จะสามารถประเมินสภาพผิวและโครงสร้างใบหน้าของคุณ พร้อมทั้งแนะนำวิธีการที่เหมาะสมในการแก้ปัญหาผิวหน้าเฉพาะแต่ละบุคคล
หากยังไม่แน่ใจว่าปัญหาบนใบหน้าของตนนั้น เหมาะกับการฉีดฟิลเลอร์หรือว่าโบท็อกซ์มากกว่ากัน แนะนำว่าให้มาปรึกษาแพทย์ผู้มีประสบการณ์ในคลินิกที่มีความน่าเชื่อถืออย่าง Jairuk Clinic คลินิกฉีดโบท็อกซ์และฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มที่เข้าใจทุกปัญหา พร้อมดูแลทุกเคสด้วยความใส่ใจ โดยจะทำการประเมินอย่างละเอียด เพื่อแก้ปัญหาใบหน้าของแต่ละบุคคลอย่างตรงจุด ให้ได้ผลลัพธ์ออกมาดูดีและเป็นธรรมชาติที่สุด สนใจเข้ารับการ Consult ไปจนถึงการทำหัตถการโดยทีมแพทย์ผู้มีประสบการณ์ สามารถนัดหมายกับเราได้เลยที่เบอร์ด้านล่างนี้
- สาขาเกษตรนวมินทร์ โทร. 062-848-7799
- สาขางามวงศ์วาน โทร. 093-636-5153
- สาขาราชเทวี โทร. 062-747-1222
ข้อมูลอ้างอิง
- รู้จัก ‘โบท็อกซ์’ และ ‘ฟิลเลอร์’ ก่อนจะไปฉีด. สืบค้นเมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2567 จาก https://www.rama.mahidol.ac.th/rama_hospital/th/services/knowledge/10292020-1457
Why Jairuk Clinic
เราเป็นคลินิคดูแลความงามครบวงจร ด้วยอุดมการณ์ที่จะมอบบริการที่ดีที่สุดให้ผู้เข้ารับบริการดูดีมากที่สุด
ในแบบที่คงความเป็นตัวของคุณเอง ช่วยเสริมความมั่นใจในแบบที่เป็นธรรมชาติ เน้นการแก้ไขปัญหาเฉพาะบุคคล
ที่ตอบโจทย์ผู้เข้ารับบริการที่มีปัญหารูปหน้าแตกต่างกันออกไป ไม่มีการขายคอร์สเกินความจำเป็นให้กังวลใจ