ถ้าหากหน้าสั้นดูแล้วไม่เรียวสวย ไม่มีมิติการเลือกเสริมความงามตรงคางจะสามารถแก้ปัญหานี้ได้ ซึ่งนิยมกัน 2 แบบคือ ฉีดคางกับเสริมคาง อันไหนดีกว่ากัน สำหรับฉีดคางจะหมายถึงการเติมฟิลเลอร์ และในการเสริมคางจะหมายถึงการผ่าตัดหรือศัลยกรรมนั่นเอง ทีนี้ทุกคนอาจจะสงสัยว่าความแตกต่างของ 2 อย่างนี้คืออะไรสามารถติดตามอ่านบทความได้ดังต่อไปนี้
ฉีดคางกับเสริมคาง อันไหนดีกว่ากัน?
การฉีดคางหรือผ่าตัดเสริมคางต้องคำนึงถึงปัจจัยหลายอย่าง เช่น คนที่คางตัดหรือมีคางสั้นมาก ๆ (คางตัดสามารถฉีดฟิลเลอร์ได้ ) แพทย์อาจแนะนำให้ทำการผ่าตัดเสริมคาง เพราะการฉีดฟิลเลอร์คางที่มีคุณสมบัติเป็นเนื้อเจลลงชั้นใต้เยื่อหุ้มกระดูก สามารถทำให้คางยาวขึ้นได้ แต่ไม่สามารถเปลี่ยนโครงสร้างกระดูกได้ หรือก็คือ การฉีดฟิลเลอร์คาง เหมาะสำหรับคนที่มีปัญหาคางไม่สมส่วนกับใบหน้า เช่น ใบหน้าสั้น คางบุ๋ม คางถอย คางตัด และใบหน้าไม่สมมาตร แต่จะไม่สามารถแก้ปัญหาที่เกิดจากกระดูกโดยตรงได้ เช่น คางยื่น คางล้ำหน้าเป็นต้น
ซึ่งการฉีดคางสามารถทดแทนการผ่าตัดศัลยกรรมเสริมคางได้ในเรื่องของความยาว ความเรียว โดยการฉีดฟิลเลอร์มีข้อดี คือไม่ต้องพักฟื้น และแก้ไขได้ง่ายหากไม่พึงพอใจ ซึ่งผลลัพธ์จะขึ้นอยู่กับปริมาณของฟิลเลอร์ และความชำนาญของแพทย์ หากแพทย์ไม่ชำนาญอาจทำให้ได้รูปคางที่ไม่สวย ไม่เข้ากับใบหน้า ยาวแหลมเกินไป ซึ่งหากจะถามว่าฉีดคางกับเสริมคาง อันไหนดีกว่า ก็ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของทางแพทย์เลยว่าจะแนะนำแบบไหน
การฉีดฟิลเลอร์คางคืออะไร?
การฉีดฟิลเลอร์คาง คือ การฉีดสารเติมเต็มที่มีชื่อว่า Hyaluronic Acid (HA) ซึ่งเป็นสารจากธรรมชาติที่มีอยู่ในร่างกายเรา ฉีดเข้าไปที่บริเวณคางเพื่อปรับรูปทรงคางให้ได้ตามความต้องการ เช่น ทำให้คางมีรูปทรงที่ยาวขึ้น หรือดูสมมาตรมากขึ้น เนื่องจากเป็นสารจากธรรมชาติ จึงมีความปลอดภัยค่อนข้างสูง เพราะก่อให้เกิดการแพ้น้อยมากหรือในบางรายอาจไม่แพ้เลย ยิ่งตัวสารสามารถย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ ไม่ตกค้างในร่างกายยิ่งมีความปลอดภัย
ข้อดีของการฉีดฟิลเลอร์คาง
- สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติทันทีหลังฉีดฟิลเลอร์คางเสร็จโดยไม่ต้องนอนพักฟื้น
- หลังฉีดฟิลเลอร์จะเห็นผลลัพธ์ที่ปลายคางดูเรียวมากขึ้นทันที และจะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนภายใน 2 – 3 สัปดาห์
- แนะนำให้ฉีดฟิลเลอร์กับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพราะจะทำให้เห็นผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติมากยิ่งขึ้น
- หากฉีดฟิลเลอร์เสริมคางแล้วไม่รู้สึกไม่ถูกใจ สามารถฉีดสลายฟิลเลอร์ได้
ข้อจำกัดของการฉีดฟิลเลอร์คาง
- การฉีดฟิลเลอร์ปรับรูปทรงคางจะทำให้คางเป็นรูปทรงแค่ชั่วคราว โดยจะอยู่ได้ 1 – 2 ปี
- หากไม่ได้ฉีดฟิลเลอร์คางกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ อาจทำให้คางเกิดการผิดรูปได้
- เป็นการทำหัตถการที่มีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง ต้องมีงบประมาณในการทำหัตถการเยอะพอสมควร
การผ่าตัดเสริมคางคืออะไร?
วิธีการปรับรูปทรงคางให้ได้สัดส่วนและดูมีมิติมากขึ้น ด้วยการผ่าตัดเล็กเสริมซิลิโคน ขั้นแรกแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะทำการประเมินใบหน้าของผู้รับบริการเพื่อร่วมกันออกแบบซิลิโคน สามารถปรับได้ตามความต้องการ หรือตามที่เห็นว่าเหมาะสมที่สุด โดยการผ่าตัดเสริมคางจะมีสองแบบให้เลือก ได้แก่
การผ่าตัดเสริมคางแผลนอก เป็นการผ่าตัดขนาดเล็กที่มีการฉีดยาชาร่วม และการผ่าตัดเสริมคางแผลใน เป็นการผ่าตัดเปิดแผลในช่องปาก บริเวณระหว่างซอกเหงือกกับริมฝีปากล่าง ซึ่งการผ่าตัดเสริมซิลิโคนคางจะช่วยแก้ปัญหารูปคางที่ไม่สมมาตรทั้งหมด และที่สำคัญช่วยทำให้ใบหน้าดูเรียวยาวมากขึ้นอย่างถาวร ทั้งนี้การผ่าตัดเสริมคางจำเป็นต้องอาศัยเทคนิคเฉพาะจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ จึงจะได้ผลลัพธ์ที่สวยงาม และมีความสมบูรณ์
ข้อดีของการผ่าตัดเสริมคาง
การผ่าตัดเสริมคางจะทำให้ใบหน้าได้สัดส่วนชัดเจนขึ้น มีความสวยงามมากขึ้น เนื่องจากเป็นการเสริมซิลิโคนบริเวณคางโดยตรง ซึ่งเป็นการแก้ไขปัญหาเฉพาะจุด และการผ่าตัดเสริมคางช่วยเติมแต่งในส่วนที่ขาดไปทำให้รูปหน้าเปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัดและไม่ทิ้งรอยแผลเป็นให้วุ่นวายใจ ซึ่งการผ่าตัดเสริมคางนี้ เหมาะกับผู้ที่มีความต้องการที่จะเปลี่ยนรูปคางใหม่หรือผู้ที่มีปัญหาเรื่องคางผิดรูปและมีใบหน้าที่สั้น เพราะซิลิโคนสามารถต่อคางให้เรียวยาวขึ้นได้ เพิ่มความมั่นใจในการใช้ชีวิต
ข้อจำกัดของการผ่าตัดเสริมคาง
แม้การผ่าตัดเสริมคางจะเป็นการผ่าตัดเล็ก มีโอกาสในการเกิดแผลเป็นน้อยมาก แต่ถ้าเกิดอยากเปลี่ยนรูปทรงคางใหม่ จำเป็นต้องทำการผ่าตัดใหม่เท่านั้น ถือเป็นข้อจำกัดที่ค่อนข้างยุ่งยาก และไม่เหมาะสำหรับคนที่ไม่มีเวลาพักฟื้นร่างกาย
สรุปแล้วฉีดคางกับเสริมคางอันไหนดีกว่ากัน ?
สรุปแล้วระหว่างฉีดคางกับเสริมคาง อันไหนดีกว่ากันไม่สามารถบอกได้แน่ชัด การเสริมคางให้ได้รูปทรงสวยงามมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นวิธีไหนก็มีข้อดีที่แตกต่างกันไป สิ่งสำคัญคือการตั้งคำถามกับตัวเองก่อนว่าต้องการผลลัพธ์แบบไหน หรือวิธีการไหนที่สอดคล้องกับเป้าหมายและงบประมาณของเรา สิ่งเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งที่จะบ่งบอกได้ว่าวิธีไหนเหมาะกับตัวคุณ อย่างไรก็ดีหากอยากทราบให้แน่ชัดว่าอันไหนเหมาะกับเราแล้ว ควรไปปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนตัดสินใจทำจะเป็นการดีที่สุด